มันยากส์เน๊อะ
อัตลักษณ์ร่วมของชาวมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามได้แก่ประวัติศาสตร์ปาตานี และความรุนแรง เช่นประวัศศาสตร์ รศ 120 หะยีสุหลง ดุซงฎอ การหล่อหลอมความเป็นตัวตนจากศาสนาอิสลาม
ส่วนอัตลักษณ์ที่สามารถเลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงได้คือ ภาษาวัฒนธรรมประเพณี การแต่งกาย
ขอเขียนแค่นี้นะเพราะความรู้เราแค่หางอึ่ง
ตอนนี้กำลังเร่งงาน
แล้วจะกลับมาเยี่ยมเยียนนะ
I'm Mot.
motta007
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553
ห่างหายไป
หลังจากคอมพิวเตอร์ตัวเองไม่สบาย ไม่ได้เข้ามาเขียนบันทึก
รู้สึกว่าเขียนไม่ถูก
ที่ผ่านมา มีอะไรบ้างละ
อ้อ ก็งานรับปริญญาของ มอ. งัย วันที่ 13-14 กันยายน 2553
คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการศึกษา มักไม่รู้จักคำว่า "มอ."
หลายครั้งที่เราต้องคอยพยายามตอบคำถามว่า
"มอ." ย่อมาจากอะไร "มหิตลาธิเบต อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชนก"
แล้วทำไมมันเขียนว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ละ
เฮ้อ.....
ก็ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ไงคะ
ปรัชญา/ปณิธานของมหาวิทยาลัยคือ
“ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเปนที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เปนกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพย์ไว้ให้บริสุทธิ ”
รู้สึกว่าเขียนไม่ถูก
ที่ผ่านมา มีอะไรบ้างละ
อ้อ ก็งานรับปริญญาของ มอ. งัย วันที่ 13-14 กันยายน 2553
คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการศึกษา มักไม่รู้จักคำว่า "มอ."
หลายครั้งที่เราต้องคอยพยายามตอบคำถามว่า
"มอ." ย่อมาจากอะไร "มหิตลาธิเบต อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชนก"
แล้วทำไมมันเขียนว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ละ
เฮ้อ.....
ก็ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ไงคะ
ปรัชญา/ปณิธานของมหาวิทยาลัยคือ
“ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเปนที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เปนกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพย์ไว้ให้บริสุทธิ ”
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
ทรงหยั่งเห็นสันดานของมนุษย์
ทรงหยั่งเห็นสันดานของมนุษย์
เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับคำอารธนา ของ ท้าวสหัมบดีพรหมแล้ว ทรงเปรียบเทียบ มนุษย์กับดอกบัว ๔ ประเภท คือ
๑ อุคฆติตัญญุ คือพวกฉลาดมาก เหมือน บัวที่พ้นน้ำแล้ว เพียงได้ฟังหัวข้อธรรม ที่ยกขึ้น ก็จะเข้าใจได้โดยง่าย
๒ วิปจิตัญญู คือพวกฉลาดพอควร เหมือน ดอกบัว ที่อยู่เสมอน้ำ เพียงฟังคำอธิบาย ก็เข้าใจได้
๓ เยยะ คือพวกฉลาดปานกลาง หรือ เวไนยสัตว์ เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ มีโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาในวันต่อๆไป
เมื่อได้รับการอบรมบ่มสติปัญญาพอ ควรก็จะเข้าใจธรรมได้
๔ ปทปรมะ คือผู้ที่โง่เขลา เหมือนบัวที่ อยู่ในโคลนตม ยากที่จะสอนให้เข้าใจได้ ไม่มีโอกาสโผล่เหนือน้ำ
I'm Mot.
ขอขอบคุณ
http://www.buddhasd.se/buddismen2.html
ถ้าอยากให้จิตพัฒนาก็ต้องศึกษาเรื่องจิต
พระรูปหนึ่งเทศนาให้ฟังว่า
"การศึกษาไม่ได้ช่วยให้คนมีจิตใจที่พัฒนาขึ้น มันคนละเรื่องกัน
ดร. เป็นแค่สมมติในทางโลก"
มักจะมีคนบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมบางคนจบ ดร.แต่ยังไม่มีวุฒิภาวะ
เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ มีปัญหาทางจิต ทำไมหรือการศึกษาถึงขั้นนี้แล้วไม่ได้ทำ
ให้เขารู้ความผิด ชอบ ชั่ว ดี แยกแยะไม่ได้หรือ
คำพูดข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่า คนมีการศึกษา
สูง จะต้องมีจิตใจที่สามารถแยกแยะ ความดี ชั่ว ถูก ผิด ได้
แต่พระท่านบอกว่าไม่ใช่ เป็นการศึกษาทางโลกที่สมมติว่าจบปริญญาเอก
จะได้ คำว่า "ดร." นำหน้าชื่อ
การศึกษาทางโลกไม่ได้ช่วยให้จิตของคนพัฒนาขึ้น
"ถ้าอยากให้จิตพัฒนา ต้องศึกษาเรื่องจิต" ในทางธรรม
พระท่านให้คำแนะนำสำหรับตัวข้าพเจ้าเองว่า ให้ฝึกแผ่เมตตาให้กับตัวเองก่อน
จิตใจจะได้สงบ มีสติ ถึงจะพัฒนาจิตของตัวเองได้
คำแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง
I'm Mot.
ขอขอบคุณ
http://www.oknation.net/blog/TheYann/2009/06/23/entry-1
"การศึกษาไม่ได้ช่วยให้คนมีจิตใจที่พัฒนาขึ้น มันคนละเรื่องกัน
ดร. เป็นแค่สมมติในทางโลก"
มักจะมีคนบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมบางคนจบ ดร.แต่ยังไม่มีวุฒิภาวะ
เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ มีปัญหาทางจิต ทำไมหรือการศึกษาถึงขั้นนี้แล้วไม่ได้ทำ
ให้เขารู้ความผิด ชอบ ชั่ว ดี แยกแยะไม่ได้หรือ
คำพูดข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่า คนมีการศึกษา
สูง จะต้องมีจิตใจที่สามารถแยกแยะ ความดี ชั่ว ถูก ผิด ได้
แต่พระท่านบอกว่าไม่ใช่ เป็นการศึกษาทางโลกที่สมมติว่าจบปริญญาเอก
จะได้ คำว่า "ดร." นำหน้าชื่อ
การศึกษาทางโลกไม่ได้ช่วยให้จิตของคนพัฒนาขึ้น
"ถ้าอยากให้จิตพัฒนา ต้องศึกษาเรื่องจิต" ในทางธรรม
พระท่านให้คำแนะนำสำหรับตัวข้าพเจ้าเองว่า ให้ฝึกแผ่เมตตาให้กับตัวเองก่อน
จิตใจจะได้สงบ มีสติ ถึงจะพัฒนาจิตของตัวเองได้
คำแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง
อะหัง สุขิโต โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้า จงเป็นผู้มีความสุขเถิด
อะหัง นิททุกโข โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้า จงเป็นผู้ไม่มีความทุกข์
อะหัง อะเวโร โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้า จงเป็นผู้ไม่มีเวร
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้า จงเป็นผู้ไม่มีความพยาบาทเบียดเบียน
อะหัง อะนีโฆ โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้า จงเป็นผู้ไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิฯ
ขอให้ข้าพเจ้า จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญฯ
................สาธุ............
I'm Mot.
ขอขอบคุณ
http://www.oknation.net/blog/TheYann/2009/06/23/entry-1
วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553
ความเป็นมาของ "แม่มด"
แม่มด คำว่า witch หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า wit ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง "to know" หรือ หยั่งรู้ ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึง พวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ (ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้
กว่าจะเป็นแม่มด
แต่เดิม แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือจากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับแม่มดดำ
แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ชนิดสุวนันท์ชิดขวาพัชราภาชิดซ้ายไปเลย ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆ นะ สิ่งที่ต้องแลกกับรูปร่างอันอวบอึ๋มก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้
รางวัลของการเป็นแม่มดดำอีกอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆ ปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มนต์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่ทุเรศและทรมานเป็นส่วนใหญ่
ว่ากันว่า ความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือเวทมนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า ยิ่งแม่มดดำ กว่าจะเป็นแม่มดที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน
อิซโซเบล ดาวดี (Isobel Dowdie) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตแลนด์ สมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มด ต้องไปยืนแก้ผ้า ต่อหน้าพยานหลายคน (แม่มดในสมาคมนั่นเอง) โดยปฏิญาณตนว่า จะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณ ให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด
อิซโซเบล ดาวดี (Isobel Dowdie) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตแลนด์ สมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มด ต้องไปยืนแก้ผ้า ต่อหน้าพยานหลายคน (แม่มดในสมาคมนั่นเอง) โดยปฏิญาณตนว่า จะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณ ให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด
สมาคมแม่มด
แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ หลายๆ กลุ่มซึ่งเรียกกันว่า สมาคมแม่มด สำหรับสมาคมแม่มดดำ แม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้ขึ้นเป็นสมาชิกถาวรตามลำดับอาวุโส แม่มดดำแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คน เพราะถือเป็นเลขสวยสำหรับผู้บูชาความมืด เป็นเลขโชคร้าย ( มีที่มาจากว่า พระเยซูกับอัครสาวกมี 13 คน ในคืนสุดท้ายก่อนตรึงกางเขน ซาตานจึงชอบเลขนี้ )
กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมใหญ่แม่มดกลุ่มต่างๆ ปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่ Candlemas วันที่ 2 ก.พ. Walpergist Night วันที่ 1 พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ Rammas Day วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี และครั้งสุดท้าย ครั้งที่สำคัญที่สุดของปีคือ Halloween วันที่ 31 ตุลาคม
ตำนานของชาวยุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง หรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกร่วมงานทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆ ในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์
แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลายได้ชะงัดนัก สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นแม่เจ้าประคุณทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นอีกเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ ยาที่ว่าคือขนเพชรของมัมมี่ รับรองกลายเป็นคนหงิมๆ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย
กล่าวกันไปแล้วว่า ว่ากันว่า แม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง แม่มดก็จะจัดการ เชือด เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆ ทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น
ยุคมืดของแม่มด
ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ หรือดีเลวอย่างไรก็ตาม ประมาณต้นศตวรรษที่ 6-11 แถบยุโรปเคยมีแม่มดและมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่พอศตวรรษที่ 15-17 หรือยุคกลางของยุโรป ที่เรียกกันว่า ยุคมืด นั้นมีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะโยนบาปก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และมักเป็นแพะรับบาป พร้อมหลักฐานจำนวนหนึ่ง บางทีหลักฐานก็ดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มด และถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างมั่วว่า สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต ( "Thou shlt not a suffer a witch to live" )
ฉะนั้นจึงมีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีนานาที่จะนึกออกได้ ใครจะทนการทรมานไหว ก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือ การเผาทั้งเป็น!
อีกตัวอย่างเหตุการณ์ของการจับแพะแม่มดที่สำคัญโด่งดังคือ กรณีเซนต์โจนส์แห่งตำบลอาร์ค (โยนส์ออฟอาร์ค) เพียงเพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่คอยมีใครรู้ที่มาที่ไป และนำทัพปฏิวัติให้ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากอังกฤษ อย่างเหลือเชื่อ การเมืองไม่เข้าใครออกใคร จะด้วยอิจฉาหรือกลัวถูกแย่งประชานิยมหรือรักษาตัวรอดตามเกมการเมืองก็ตาม ผู้มีอำนาจในฝรั่งเศสสมรู้กันมอบเธอให้อังกฤษ เพื่อแลกกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งที่เธอต่างหากที่ปลดปล่อยฝรั่งเศสให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และมีกษัฅริย์ของตนเอง เธอถูกตัดสินว่า ผิดจริงโดยใช้พลังของแม่มดในการเมืองการสงคราม และถูกเผาทั้งเป็น แต่ภายหลังเป็นร้อยปี ก็ได้มีการรื้อคดีมาทำใหม่ และประกาศว่าการพิพิากษาครั้งนั้นไม่ถูกต้อง แล้วเธอได้รับยกย่องให้เป็น หนึ่งใน นักบุญ (เซนต์)
(Thanks http://www.dekdee.com/)
กว่าจะเป็นแม่มด
แต่เดิม แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือจากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับแม่มดดำ
แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ชนิดสุวนันท์ชิดขวาพัชราภาชิดซ้ายไปเลย ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆ นะ สิ่งที่ต้องแลกกับรูปร่างอันอวบอึ๋มก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้
รางวัลของการเป็นแม่มดดำอีกอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆ ปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มนต์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่ทุเรศและทรมานเป็นส่วนใหญ่
ว่ากันว่า ความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือเวทมนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า ยิ่งแม่มดดำ กว่าจะเป็นแม่มดที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน
อิซโซเบล ดาวดี (Isobel Dowdie) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตแลนด์ สมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มด ต้องไปยืนแก้ผ้า ต่อหน้าพยานหลายคน (แม่มดในสมาคมนั่นเอง) โดยปฏิญาณตนว่า จะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณ ให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด
อิซโซเบล ดาวดี (Isobel Dowdie) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตแลนด์ สมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มด ต้องไปยืนแก้ผ้า ต่อหน้าพยานหลายคน (แม่มดในสมาคมนั่นเอง) โดยปฏิญาณตนว่า จะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณ ให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด
สมาคมแม่มด
แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ หลายๆ กลุ่มซึ่งเรียกกันว่า สมาคมแม่มด สำหรับสมาคมแม่มดดำ แม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้ขึ้นเป็นสมาชิกถาวรตามลำดับอาวุโส แม่มดดำแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คน เพราะถือเป็นเลขสวยสำหรับผู้บูชาความมืด เป็นเลขโชคร้าย ( มีที่มาจากว่า พระเยซูกับอัครสาวกมี 13 คน ในคืนสุดท้ายก่อนตรึงกางเขน ซาตานจึงชอบเลขนี้ )
กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมใหญ่แม่มดกลุ่มต่างๆ ปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่ Candlemas วันที่ 2 ก.พ. Walpergist Night วันที่ 1 พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ Rammas Day วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี และครั้งสุดท้าย ครั้งที่สำคัญที่สุดของปีคือ Halloween วันที่ 31 ตุลาคม
ตำนานของชาวยุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง หรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกร่วมงานทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆ ในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์
แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลายได้ชะงัดนัก สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นแม่เจ้าประคุณทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นอีกเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ ยาที่ว่าคือขนเพชรของมัมมี่ รับรองกลายเป็นคนหงิมๆ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย
กล่าวกันไปแล้วว่า ว่ากันว่า แม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง แม่มดก็จะจัดการ เชือด เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆ ทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น
ยุคมืดของแม่มด
ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ หรือดีเลวอย่างไรก็ตาม ประมาณต้นศตวรรษที่ 6-11 แถบยุโรปเคยมีแม่มดและมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่พอศตวรรษที่ 15-17 หรือยุคกลางของยุโรป ที่เรียกกันว่า ยุคมืด นั้นมีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะโยนบาปก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และมักเป็นแพะรับบาป พร้อมหลักฐานจำนวนหนึ่ง บางทีหลักฐานก็ดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มด และถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างมั่วว่า สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต ( "Thou shlt not a suffer a witch to live" )
ฉะนั้นจึงมีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีนานาที่จะนึกออกได้ ใครจะทนการทรมานไหว ก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือ การเผาทั้งเป็น!
อีกตัวอย่างเหตุการณ์ของการจับแพะแม่มดที่สำคัญโด่งดังคือ กรณีเซนต์โจนส์แห่งตำบลอาร์ค (โยนส์ออฟอาร์ค) เพียงเพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่คอยมีใครรู้ที่มาที่ไป และนำทัพปฏิวัติให้ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากอังกฤษ อย่างเหลือเชื่อ การเมืองไม่เข้าใครออกใคร จะด้วยอิจฉาหรือกลัวถูกแย่งประชานิยมหรือรักษาตัวรอดตามเกมการเมืองก็ตาม ผู้มีอำนาจในฝรั่งเศสสมรู้กันมอบเธอให้อังกฤษ เพื่อแลกกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งที่เธอต่างหากที่ปลดปล่อยฝรั่งเศสให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และมีกษัฅริย์ของตนเอง เธอถูกตัดสินว่า ผิดจริงโดยใช้พลังของแม่มดในการเมืองการสงคราม และถูกเผาทั้งเป็น แต่ภายหลังเป็นร้อยปี ก็ได้มีการรื้อคดีมาทำใหม่ และประกาศว่าการพิพิากษาครั้งนั้นไม่ถูกต้อง แล้วเธอได้รับยกย่องให้เป็น หนึ่งใน นักบุญ (เซนต์)
(Thanks http://www.dekdee.com/)
ท้อ แต่ไม่ถ้อยนะ
สี่วันที่ผ่านมา พยายามที่จะเก็บรวมรวมข้อมูล อ่านหนังสือ รวมถึงเก็บข้อมูลภาคสนามด้วย
เหนี่อยเหลือเกิน เหนื่อยทั้งกายและใจ พอใจท้อแท้ ร่างกายก็พลอยอ่อนแอตาม
ยังคิดไม่ออก ก็จะพยายามไป
ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่วันที่จะต้องส่งเล่มดำแล้ว เริ่มจะหลงทาง หาทางออกไม่เจอ
แต่เราจะพยายามนะ
คงไม่มีใครให้กำลังใจเราดี เท่าเราให้กำลังใจตัวเองนะ สู้ๆ
วันเพ็ญและเพื่อนๆ เมื่อวันวาน วันที่เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่
เริ่มจากซ้ายนะ พี่ชาย มด เก๋ ออม ข้าว ตรี พี่แถม
ละแล้ววันนี้เรากำลังจะจบแล้ว เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ (ประมาณสองปีสามเดือน)
อืม มันกำลังจะเป็นอดีตสำหรับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มอ. ที่น่าภาคภูมิใจ เป็นลูกพระบิดาเต็มตัวแล้ว
I'm Mot.
เหนี่อยเหลือเกิน เหนื่อยทั้งกายและใจ พอใจท้อแท้ ร่างกายก็พลอยอ่อนแอตาม
ยังคิดไม่ออก ก็จะพยายามไป
ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่วันที่จะต้องส่งเล่มดำแล้ว เริ่มจะหลงทาง หาทางออกไม่เจอ
แต่เราจะพยายามนะ
คงไม่มีใครให้กำลังใจเราดี เท่าเราให้กำลังใจตัวเองนะ สู้ๆ
เริ่มจากซ้ายนะ พี่ชาย มด เก๋ ออม ข้าว ตรี พี่แถม
ละแล้ววันนี้เรากำลังจะจบแล้ว เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ (ประมาณสองปีสามเดือน)
อืม มันกำลังจะเป็นอดีตสำหรับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มอ. ที่น่าภาคภูมิใจ เป็นลูกพระบิดาเต็มตัวแล้ว
I'm Mot.
วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553
วันสอบจบ 3 กันยายน 2553
เป็นวันที่ตื่นเต้น กังวล เครียด ทุกอารมณ์อยู่ในวันนี้
ตามกำหนดเวลาการสอบ คือ 18.00 - 20.00 น
แต่ด้วยประธานสอบรถติด เดินทางจากมหาวิทยาลัยทักษิณมา มอ หาดใหญ่
อาจารย์บอกว่าจะมาช้าไปครึ่งชั่วโมง
จากนั้นอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่อยู่หาดใหญ่ หิวข้าว (ขำ)
เวลาการสอบก็เลื่อนไป
สรุปว่าประธานสอบมาตรงเวลาเป๊ะ 18.30 น
แต่ กลับกลายเป็นว่าอาจารย์ที่หาดใหญ่ ช้า (ขำ)
จากหกโมงครึ่ง เอาจริงๆ จังๆ ก็ปาไปเป็นทุ่ม
วันเพ็ญพูดไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
มีเรื่องขำๆ อีกต่างหาก ก็ความโก๊ะของวันเพ็ญเองนั่นแหละ
พอทุกคนบอกว่า อ๊ะ เริ่มได้ แค่นั้นแหละ วันเพ็ญรีบอ้าปากพูดคนแรกเลย
"สวัสดีค๊ะ คณะกรรม"
อาจารย์ทุกคนมองหน้าวันเพ็ญ อาจารย์เก็ตพูดว่า "ให้ประธาน อาจารย์พรพันธุ์ พุดก่อน" แล้วหนูค่อยพูด
อายม๊ากมากกกกกกกกกกก
น้องรุ่นหก สี่คนในนั้น มันหัวเราะ รวมทั้งข้าว และตาลด้วย อาจารย์อีก
เฮ้ยยยยยยยยยย..................................แตกสุดดดดดดดดดด หน้าแตก
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปด้วย.........ความระทึก โอเค เสร็จการบรรยาย
จากนั้นก็ต่อด้วยการ ถ่อมตัวของอาจารย์ที่ไม่อยากเป็นคนถามก่อน
แต่เมื่ออาจารย์เก็ตถวา เปิดฟอร์ เสร็จ แค่นั้นแหละ
วันเพ็ญหลายหลัง...............
เล่นยิงมาไม่ยั้ง ด้วยกระสุนของอาจารย์เอมอร อาจารย์วันชัย
เฮ้อ ห้องแอร์นะ แต่วันเพ็ญปาดเหงื่อ และแล้ว คำถามที่เปรียบเหมือนปอกกล้วยเข้าปากก็มาถึง
หุ หุ หุ หุ ชาติพันธุ์หรือ ชิลๆๆ ถามมาดิ ไทยพูทธ มลายูมุสลิม มลายูพุทธ ไทยมุสลิม มุสลิมไทย
อาจารย์แตละคนอ้าปากค้างกันหมด
ก็บอกแล้วว่าวันเพ็ญศึกษามาจริงๆ จังๆ
ถามมาแนวไหน ตอบได้หมด อิ อิ อิ อิ
แต่ที่เรา งง คือ บ้านหลังใหม่ บ้านหลังใหญ่ ในหน้ากิตติกรรมประกาศ
คำถามของ รศ.ดร.วันชัย ธรรมสัจการ
ตามกำหนดเวลาการสอบ คือ 18.00 - 20.00 น
แต่ด้วยประธานสอบรถติด เดินทางจากมหาวิทยาลัยทักษิณมา มอ หาดใหญ่
อาจารย์บอกว่าจะมาช้าไปครึ่งชั่วโมง
จากนั้นอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่อยู่หาดใหญ่ หิวข้าว (ขำ)
เวลาการสอบก็เลื่อนไป
สรุปว่าประธานสอบมาตรงเวลาเป๊ะ 18.30 น
แต่ กลับกลายเป็นว่าอาจารย์ที่หาดใหญ่ ช้า (ขำ)
จากหกโมงครึ่ง เอาจริงๆ จังๆ ก็ปาไปเป็นทุ่ม
วันเพ็ญพูดไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
มีเรื่องขำๆ อีกต่างหาก ก็ความโก๊ะของวันเพ็ญเองนั่นแหละ
พอทุกคนบอกว่า อ๊ะ เริ่มได้ แค่นั้นแหละ วันเพ็ญรีบอ้าปากพูดคนแรกเลย
"สวัสดีค๊ะ คณะกรรม"
อาจารย์ทุกคนมองหน้าวันเพ็ญ อาจารย์เก็ตพูดว่า "ให้ประธาน อาจารย์พรพันธุ์ พุดก่อน" แล้วหนูค่อยพูด
อายม๊ากมากกกกกกกกกกก
น้องรุ่นหก สี่คนในนั้น มันหัวเราะ รวมทั้งข้าว และตาลด้วย อาจารย์อีก
เฮ้ยยยยยยยยยย..................................แตกสุดดดดดดดดดด หน้าแตก
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปด้วย.........ความระทึก โอเค เสร็จการบรรยาย
จากนั้นก็ต่อด้วยการ ถ่อมตัวของอาจารย์ที่ไม่อยากเป็นคนถามก่อน
แต่เมื่ออาจารย์เก็ตถวา เปิดฟอร์ เสร็จ แค่นั้นแหละ
วันเพ็ญหลายหลัง...............
เล่นยิงมาไม่ยั้ง ด้วยกระสุนของอาจารย์เอมอร อาจารย์วันชัย
เฮ้อ ห้องแอร์นะ แต่วันเพ็ญปาดเหงื่อ และแล้ว คำถามที่เปรียบเหมือนปอกกล้วยเข้าปากก็มาถึง
หุ หุ หุ หุ ชาติพันธุ์หรือ ชิลๆๆ ถามมาดิ ไทยพูทธ มลายูมุสลิม มลายูพุทธ ไทยมุสลิม มุสลิมไทย
อาจารย์แตละคนอ้าปากค้างกันหมด
ก็บอกแล้วว่าวันเพ็ญศึกษามาจริงๆ จังๆ
ถามมาแนวไหน ตอบได้หมด อิ อิ อิ อิ
แต่ที่เรา งง คือ บ้านหลังใหม่ บ้านหลังใหญ่ ในหน้ากิตติกรรมประกาศ
คำถามของ รศ.ดร.วันชัย ธรรมสัจการ
![]() |
| คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ (นี่งัยบ้านที่ให้พักพิง หลังใหม่และหลังใหญ่) |
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)





